วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554
The Soundtracks of My Love เพลงรักประกอบชีวิต โดย นิ้วกลม
(หน้าปกวาดออกมาได้น่ารักมากครับ ด้วยฝีมือของหนึ่งในตัวละครในเล่มครับ)
The Soundtracks of My Love เพลงรักประกอบชีวิต โดย นิ้วกลม
“ทำไมเราถึงรักคนที่เขาไม่รักเราอยู่เรื่อย” น่าจะเป็นหนึ่งในคำถามที่ตอบยากที่สุดในโลกนี้
และเพราะเหตุนั้น ทุก ๆ วันบนโลกใบนี้ จึงมีหมาหน้าใหม่ ถือกำเนิดขึ้นมาเรื่อย ๆ เป็นประจำ
The Soundtracks of My Love เล่าเรื่องราวชีวิตรักของผู้เขียน ที่มีทั้งสุข เศร้า ผิดหวังและสมหวัง คำนำในเล่มเขียนโดยคุณศุ บุญเลี้ยง (หรือจะเรียกว่า “คำจำใจนิยม” ก็ว่าได้ ต้องลองอ่านดูเอาเองครับ) ซึ่งมีประโยคหนึ่งที่คุณศุ บุญเลี้ยง เขียนบอกไว้ว่า “คนอะไร เอาเรื่องสาว ๆ ที่ตัวเองชอบมาเขียนขาย หน้าไม่อาย...”
นั่นแหละครับคือเนื้อหาหลักของหนังสือเล่มนี้
เวลาเราไปงานแต่งงานของเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง ส่วนใหญ่แล้วช่วงเวลาที่คนสนใจฟังมากที่สุดคงไม่ใช่ตอนที่แขกผู้ใหญ่ขึ้นมากล่าวอวยพร แต่เป็นตอนที่พิธีกรบนเวทีสัมภาษณ์คู่บ่าว สาว ว่าเป็นมายังไงถึงรักและลงเอยกันได้
ใช่ไหมครับ? ยอมรับกันเถอะครับว่าเราอยากรู้เรื่องของชาวบ้าน
ก็เรื่องราวของความรักเป็นสิ่งสวยงาม ใคร ๆ ก็อยากฟัง เราอยากฟังเรื่องความรักของคนอื่น เพื่อจะได้รู้ว่าคน ๆ หนึ่งหรือในที่นี้หมายถึงสองคน รักกันได้ยังไง กว่าจะถึงจุดนี้ผ่านอะไรกันมาบ้าง
เราอยากรู้ เราอยากฟัง และถ้าเราได้เจอกับตัวเอง เราก็อยากเล่า
คนฟังก็อยากฟัง คนเล่าก็เอ่อล้นด้วยความสุขอยากพูดออกมา เป็นเรื่องปกติที่ทั้งสองฝ่ายจะฟังไปเล่าไปด้วยรอยยิ้ม เวลาสมหวังอะไรก็ดีไปหมดแหละครับ
แต่น้อยคนนักที่จะมีเรื่องมาเล่าให้คนอื่นฟังได้จนออกมาเป็นหนังสือเล่มหนาระดับพ็อกเก็ตบุ๊คได้ซักหนึ่งเล่ม
คุณนิ้วกลม มีเรื่องมาเล่าครับ
งานเขียนของคุณนิ้วกลมมีจุดเด่นที่การถ่ายทอดมุมมองและการเล่นคำ ที่ชวนให้สะกิด ติด และโดนใจ
ผมได้พลิกดูหนังสือเล่มนี้คร่าว ๆ ไปจนถึงประโยคแรกของบทแรกของหนังสือ (กระบวนการพลิกดูแบบคร่าว ๆ เกิดขึ้นดังนี้ ปกหน้า – ปกหลัง - คำนิยมบนปกหลัง - คำนำ - คำนำผู้เขียน)
“ในโลกแห่งความรัก ผมเป็นหมาเสมอ”
เพียงแค่ประโยคแรกผมก็เสร็จหนังสือเล่มนี้แล้วล่ะครับ
ต้องขอยืมคำพูดของ Dorothy Boyd จากเรื่อง Jerry Maguire มาอธิบายหน่อยนะครับ “You had me at hallo”
จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้ นอกจากจะเป็นหนังสือที่เล่าเรื่องราวความรักผ่านมุมมองของหมาตัวหนึ่งที่มีประสบการณ์ฝึกฝนการวิ่งไล่เครื่องบินอยู่หลายปีแล้ว ผู้เขียนยังใช้บทเพลงประกอบเรื่องราวความรักของเขาด้วย (สมตามชื่อหนังสือ)
ในเล่มทุก ๆ บทเราจะได้เห็นเนื้อเพลงที่ผู้เขียนเลือกมาประกอบเรื่องราวความรักในช่วงชีวิตของเขาที่แตกต่างกัน
ผมคิดว่านอกจากสถานที่ ถนน ร้านอาหาร แล้วนั้น บทเพลงนี่แหละครับคือสิ่งที่เชื่อมโยงเรากับอดีต เพลงหลายเพลงมีความหมายมากมาย ในบางช่วงเวลาของชีวิตจริง ๆ เหมือนมันจะมีความสามารถบรรจุความทรงจำ อารมณ์ ความรู้สึกในเวลานั้น ๆ ไว้ได้ และเมื่อใด ที่หูของเราได้ยินได้ฟังเพลงนั้นอีกครั้ง เหมือนว่าวันเวลานั้นจะสามารถย้อนกลับมาได้ พาเราไปสู่อดีต พาเราไปสู่ช่วงเวลาหนึ่งในความทรงจำของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาอินเลิฟ
“...เธอคือความฝัน ในใจฉัน เพียงความฝันที่แสนไกล ดั่งคว้าดาวบนฟ้าไกล ไม่มั่นใจ จะคว้า..."
ถ้าไม่ติดเรื่องลิขสิทธิ์แล้วล่ะก็ หากหนังสือเล่มนี้แถมบทเพลงต่าง ๆ ที่คัดเลือกมา บันทึกลงซีดีแนบมาให้ผู้อ่านทุกคน ฟังประกอบเวลาอ่านหนังสือ คงได้บรรยากาศครบถ้วนแบบสุด ๆ
ดังนั้นแนะนำนะครับ ว่าให้ลองหามาฟังดูให้มากที่สุด เวลาอ่านบทนั้น ๆ
แล้วคุณจะได้ซึมซับถึงบรรยากาศ “เพลงรักประกอบชีวิต” หรือเผลอ ๆ คุณอาจจะรู้สึกเลยก็ได้ ว่านี่มันก็ชีวิตเราเหมือนกันนี่หว่า
ความรักทั้งสวยงามและไพเราะเสมอครับ
ไม่ว่าคุณจะเป็นหมาหรือเครื่องบิน ผมแนะนำให้ลองหามาอ่านดูนะครับ หนังสืออ่านเล่นเล่มนี้มีดีพอจะให้คุณอ่านรวดเดียวจบพร้อมรอยยิ้ม และอิ่มเอมในตอนท้ายได้ไม่ยาก
ส่วนตัวผมนั้น ขี้เกียจให้คะแนนหนังสือเล่มนี้ครับ เพราะคงไม่สามารถให้คะแนนด้วยความเป็นธรรมได้
เพราะถ้าคุณนิ้วกลมเขียนคำนำผู้เขียนไว้ท่อนหนึ่งว่า “.....เมื่อเขียนเสร็จ ผมรักมัน” แล้วล่ะก็
สำหรับผมแล้ว เมื่อผมอ่านจบ ผมก็บอกได้เหมือนกันว่า ผมรักหนังสือเล่มนี้ และคงรู้สึกเหมือนใครหลาย ๆ คนที่อ่านจบว่า ผมอิจฉาผู้เขียน ที่เขาได้รัก ได้อกหัก ได้ผิดหวัง และได้พบได้เจอ คนที่เข้ากับเขาได้ดีและรักกัน ซึ่งไม่ง่ายนักจริง ๆ ที่เราจะเจอคนที่เรารักและเข้ากันได้ดีในทุก ๆ อย่างอย่างนี้
แต่ถึงจะอิจฉา แต่ก็ไม่ได้ริษยา เป็นความอิจฉาแบบยิ้มแย้มและอมยิ้มสำหรับผม
แม้ว่าเรื่องนี้สุดท้ายในชีวิตจริงจะจบยังไง เราคงไม่รู้ แต่คงไม่สำคัญมากมั้งครับที่จะสนใจ
“ไม่มีคนรักเราไม่สำคัญ ขอให้เรารักใครสักคนก็พอ” หนังเรื่องข้างหลังภาพพูดเอาไว้ครับ
และผมเข้าใจความรู้สึกนะครับ ทุก ๆ เรื่อง ทุก ๆ ตอน ทุก ๆ เพลง ที่คุณนิ้วกลมเล่ามา
ก็แหม... หมาย่อมต้องเข้าใจหมาด้วยกันซิครับ
วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
พ่อแม่รังแกฝัน
http://www.mediafire.com/?q4hf08w1ivu93ph
ออกแบบจัดหน้าสวยงามด้วยใจและฝีมือของบอยแมค โดยไม่ได้ร้องขอเลยซักนิด (มีเพื่อนดี)
ขอบคุณสำหรับการถีบแบบสุดตรีน (ถ้าไม่ทราบว่าการถีบคืออะไร อ่านให้จบก่อนครับ)
...............................................................
โตขึ้นอยากเป็นอะไรกันค่ะ
มีใครในประเทศนี้ไหมไม่เคยถูกถามคำถามนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะโดนโยนคำถามนี้ใส่จากคนที่เป็นครูในวัยเด็กของเรา
ไม่ว่ามันจะถูกถามเพราะว่าคนถามอยากรู้จริง ๆ หรือว่ามันเป็นหลักสูตรที่ถูกอบรมมาในวิชาส.ป.ช. หรืออาจจะเป็นกิมมิคในการสอนและฆ่าเวลาชั่วโมงเรียนได้ดีอย่างหนึ่ง หรือเพราะคนถามเคยเป็นผู้ถูกกระทำมาก่อน แต่ในวันนี้ ในวันที่ความฝันในวัยเด็กของเขาระเหิดกลายเป็นไอไปจนหมด เขาพบตัวเองเหลือแค่ตะกอนแห่งความฝัน กองทิ้งอยู่ในโลกแห่งความจริง และคำถามนี้ทิ่มแทงตัวตนของเขา จนทนไม่ไหวเลยต้องโยนมันให้เด็ก ๆ อย่างเรา (ในวันนั้น)
คิดไปนั่น
แต่ไม่ว่ายังไงเราทุกคนก็ยังถูกถามอยู่ดีว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร”
ทำไมถึงอยากรู้กันจังนะ
ในหนังสือเรื่องโตเกียวไม่มีขา นิ้วกลมตั้งคำถามนี้กับตัวเองและผู้อ่านว่า
“โตขึ้นอยากเป็นอะไร
ผมถามคุณ….
แล้วตอนนี้คุณทำอะไรอยู่ ?”
ผมอ่านแล้วโมโหมาก ถามอย่างนี้ได้ยังไงมันแทงใจดำอันแห้งแล้งของผม
เอาล่ะ โตขึ้นผมอยากเป็นอะไรเหรอ ผมเล่าเรื่องของผมก่อนดีกว่า
ความทรงจำในวัยเด็กผมคงเป็นสีเทาจาง ๆ แล้วล่ะ เพราะระลึกได้ลางเลือน แต่กระนั้นก็คิดว่าไม่น่าพลาดว่าครั้งหนึ่งตัวเองเคยพูดว่า “โตขึ้นอยากเป็นทหาร” เหตุผลง่าย ๆ ครับ เพราะผมเกิดในหมู่บ้านทหาร พ่อผมเป็นทหาร บ้านข้าง ๆ ก็เป็นทหาร บ้านตรงข้ามก็เป็นทหาร สิ่งมีชีวิตสนิทรอบตัวผมป็นทหารแทบทั้งนั้น เว้นไว้แต่แม่ น้องสาว ปลาทองในตู้ และไอ้จีจี้และนังตุ๊กแตม หมาและแมวข้างบ้าน
ทุก ๆ วันผมเจอแต่ทหารยั้วเยี้ยไปหมด ขนาดไปโรงพยาบาลให้หมอถอนฟัน ก็ยังไปเจอเพื่อนพ่อถอนให้ ซึ่งแน่นอนเป็นทหาร เพราะมันเป็นโรงพยาบาลทหาร ยังดีที่ตอนถอนเขาสวมวิญญาณหมอ ไม่ใช่ทหาร เลิกเรียนเดินกลับบ้าน ผมก็จะเห็นน้าคนนั้น ลุงคนนี้ที่แต่งเครื่องแบบทหาร ทักทายกันด้วยการยกมือสะบัดแตะที่หางคิ้ว และไม่ลืมที่จะเตะส้นเท้าชนกันเสียงดังแป๊ะ โคตรเท่เลย ดังนั้นเมื่อครูถามผมว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ผมจึงไม่ได้ตอบกลับไปว่า “พยาบาลครับ”
สำหรับเด็กผู้ชายแล้ว อาชีพของพ่อมักเป็นหนึ่งในความฝันแรก ๆ ของเรา ในชั้นเรียนของเรา ถ้าใครตอบว่าตัวเองโตขึ้นอยากเป็นอะไร ไม่ต้องสืบให้มากความ พ่อเขาเป็นแบบนั้นแหละครับ
ความฝันของเราล้วนมีรากฐานจากความจริง เราไม่สามารถอยากเป็นในสิ่งที่เราไม่รู้จักได้ เราทุกคนล้วนรับแรงบันดาลใจจากคนอื่น ที่พากันส่งไม้ต่อมาเป็นทอด ๆ ไม่แปลกที่ในชีวิตเราจะมีไม้หลาย ๆ ท่อนที่เรารับมา บางท่อนก็จุดไฟติด บางท่อนก็เปียกน้ำ บางท่อนเราก็แค่วางทิ้งไว้เฉย ๆ กองไว้ที่มุม ๆ หนึ่งในหัวใจเรา ตั้งชื่อมุม ๆ นั้นว่า “ความทรงจำ” และติดลาเบลให้กับมันซักหน่อย กันลืมว่าครั้งหนึ่งเราเคยอยากเป็นอะไร
ความฝันไม่ใช่ภรรยา จะมีเยอะขนาดไหน เราก็ไม่กลายเป็นคนทรยศต่อความฝัน ใช่ไหมครับ
แต่หาได้ยากนักที่คน ๆ หนึ่งจะทำความฝันของเขาทุก ๆ อย่างให้เป็นจริงได้
“อยากเป็น” กับ “อยากทำ” มีระดับความยากที่แตกต่างกัน
คุณเคยอยากเป็นอะไร และคุณเคยอยากทำอะไร
จริง ๆ แล้วแม้จะเคยอยากเป็นทหาร แต่ก็อย่างที่บอกไว้ข้างต้นนั่นแหละครับ ว่าด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่าผมเกิดมาผมก็เห็นทหารมาตลอด สำหรับเด็กในวัยนั้นที่ถูกกดดันด้วยคำถามและเรียงความที่ถูกมอบหมายด้วยผู้ มีสิทธิอำนาจที่สุดในห้องเรียน ให้เขียนมาว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ผมถูกบีบให้ต้องเลือกมาหนึ่งอย่าง และเขียนบรรยายมันลงไปให้เต็มหน้ากระดาษฟูลสแก็บด้วยฟอนต์ขนาด 13-20 point ขึ้นกับความเมื่อยของมือ
ผมไม่มีทางเลือกมากนักหรอกในเวลานั้น ไม่มีใครเป็นแรงบันดาลใจให้ผม ผมยังไม่เจอใครที่จุดประกายให้ผมอยากจะเป็น
ก็ตอนนั้นผมยังไม่ได้อ่านเพชรพระอุมานี่นา
ชีวิตในวัยเด็กเป็นช่วงเวลาที่โลกแห่งความฝันของเราเข้มแข็งที่สุด ความรับผิดชอบในชีวิตยังไม่กดทับตัวเรา เรามีธนาคารออมสินที่ไม่ต้องใช้สมุดในการเบิกอยู่ที่บ้าน และมี 2 สาขาในบ้านเดียวกันด้วย
เวลาเช้ามีคนปลุกเรา แม้ว่าเรายังอยู่ในสภาพงัวเงีย แต่เราก็พบว่าฟันเราถูกแปรง ถูกน้ำชำระร่างกาย มีเสื้อผ้าถูกสวมใส่ตัวเราตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่ตายังไม่ลืม โอ้ มหัศจรรย์
ตกเย็นเราวิ่งกลับบ้าน โยนกระเป๋าแล้วออกไปวิ่งไล่เตะลูกบอล โยนลูกข่าง ปาดินน้ำมัน ดีดลูกแก้ว ที่แม้จะพ่ายแพ้ยับเยิน กลับบ้านมาแบบหมดเนื้อหมดตัวขนาดไหน วันเสาร์นี้เราก็ออกไปซื้อใหม่ได้อีกอยู่ดี อย่าลืมซิครับว่าที่บ้านเรามีธนาคารอยู่ 2 สาขา
ชีวิตที่ไม่ต้องมาคอยทุกข์ร้อนและรีบเร่งแข่งขันเพื่อเอาตัวรอด ทำให้โลกอีกใบหนึ่งในตัวเราเติบโตและเข้มแข็งขึ้นโดยไม่รู้ตัว มันเกลี่ยพื้นที่ เทปูน ลงเสาเข็ม สร้างรากฐาน และขึ้นแท่นเตรียมไว้ รอให้เราเจอใครซักคนหนึ่ง ที่จะมาเป็นแบบให้เราปั้นขึ้นมากลายเป็นไอด้อล ที่ถูกขนานนามว่า “อยากเป็น”
ช่วงเวลานี้ แค่ใครซักคนหนึ่งผ่านเข้ามาในชีวิตคุณ แล้วเขาคนนั้นโคตรเท่ เท่านั้นเอง เราจะเอาสิ่งที่เขาเป็นมาต่อท้ายสิ่งที่เราอยากเป็นในทันที
แล้วผมก็ปล่อยให้ “รพินทร์ ไพรวัลย์” ผ่านเข้ามาในชีวิตของผม
ผมพูดถึงหญิงสาวโรงเรียนเซนต์โยเซฟข้าง ๆ ที่เจอกันบนรถบัสรับส่งนักเรียนในเย็นวันที่เก้าอี้มีที่นั่งว่างเหลือแค่ สองที่ และเป็นเบาะคู่หรือ?
เปล่าครับ
ผมพูดถึงผู้ชายคนหนึ่งที่เย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเอง การศึกษาสูงเล่าเรียนผ่านมา 3 ประเทศ แต่กลับมาฝังตัวเองอยู่ในป่าที่กันดารและห่างไกลความเจริญ ประกอบอาชีพเพียงเพื่อเลี้ยงท้องและแม่ที่แก่เฒ่า รักษาคำพูดแม้แลกด้วยชีวิต เมื่อรับงานใครแล้ว ให้สัญญาหมายความว่าสัญญา ลำบากกว่าลูกน้อง ตื่นก่อนนอนที่หลัง ทรหดยิ่งกว่าแรด เก่งหาตัวจับยาก พูดน้อย ปากหนัก หน้าตาย ไร้รอยยิ้ม (แต่กลับกลายเป็นคนยิ้มง่าย ยามคับขัน) ไม่โอ้อวด แต่กวนตีนสำหรับบางคน โดยเฉพาะผู้หญิง และสุดท้ายก็ขโมยหัวใจเขามาโดยไม่รู้ตัว ภายใต้ใบหน้าที่หยาบกระด้างดังหินผา ความเป็นสุภาพบุรุษและจิตใจอันสูงส่งนั้นอัดแน่นสุมอยู่ภายใน ไม่ต้องพูด ไม่ต้องบอก ไม่ต้องเล่า เราเข้าใจได้เอง
พรานไพรใจฉกาจของคุณหญิงหมอ ผู้ชายแบบนี้แหละที่ผมอยากเป็น
ครับ ผมเจอแล้วครับคุณครู ผมอยากเป็นนายพราน
เสียดายที่หลักสูตร “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” ไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในช่วงม.ต้น ไม่งั้นผมคงได้มีโอกาสออกไปยืนเล่าให้เพื่อนทั้งห้องฟังด้วยดวงตาเป็นประกาย อะดรีนาลีนฉีดพล่านว่าโตขึ้น “กูอยากเป็นนายพราน” แล้วก็รับคำชมท่วมท้นกลับมาว่า “มึงบ้าหรือเปล่า”
เออ ตอนนั้นผมบ้าบอจริง ๆ
ผมอ่านนิยายเรื่องนี้ในช่วงวันหยุดปิดเทอมเดือนตุลาคมปีใดปีหนึ่งในช่วง ชีวิตของผมเนี่ยแหละ เป็นหนังสือนิยายเรื่องแรกที่ผมอ่าน และมันดันเป็นนิยายที่ (น่าจะ) ยาวที่สุดในประเทศไทย (ไม่รู้ว่าชาติบ้านเมืองอื่นเขามีกันขนาดไหน) 52 เล่มจบ (ในสมัยนั้น ปัจจุบันพิมพ์ใหม่เหลือ 48 เล่ม) เล่มละประมาณ 600 หน้า ก็ราว ๆ 30,000 กว่าหน้า อ่านกันแบบ unputdownable กันเลยทีเดียว
วันหยุดปิดเทอมช่วงนั้น แทนที่จะเตะบอล เป่ากบ เขี่ยการ์ด ผมจึงกลับใช้เวลาวิ่งเที่ยวเล่นอยู่ในป่า ตั้งแต่หนองน้ำแห้ง จนถึงหล่มสัก ทักทายกับไอ้แหว่ง ไอ้กุด ไปจนถึงงูยักษ์ไล่ยาวไปจนถึงนิทรานครและขุมเพชรพระอุมา ช่างเป็นการเที่ยวเล่นที่ลืมตาย และเหน็ดเหนื่อยพอสมควร
ถ้าให้คุยเรื่องเพชรพระอุมา ความเรียงตอนนี้คงเรื่อยเปื่อยสมชื่อแน่ ๆ ไว้มีโอกาสจะขอเขียนถึงซักหน่อยแล้วกัน เพราะอ่านจบไป 3 รอบแล้ว ใน 3 ช่วงวงจรชีวิต และก็ร่ำ ๆ อยากจะหยิบมาอ่านอีกซักรอบ
อย่างที่บอก (อีกแล้ว) โลกแห่งความฝันในช่วงเวลานี้มันเติบใหญ่เข้มแข็ง สิ่งที่ก่อร่างสร้างขึ้นในช่วงเวลานี้มักมีรากฐานที่มั่นคงบนซีเมนต์ที่ แกร่งแข็ง
ช่วงเวลานั้น ผมถึงขนาดมองหาเลยทีเดียวว่า โตขึ้นเราจะเรียนคณะอะไรดีที่ทำให้ฝันเป็นจริง
โอเค ใกล้เคียงสุดคือ วนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
กูจะเป็นนายพราน 555 จำไม่ได้ว่าตอนนั้นบอกพ่อกับแม่ไปหรือเปล่า
อย่างน้อยแม้วันนี้ผมไม่ได้เป็นนายพรานอย่างที่ฝันไว้ แต่ผมก็อยากเป็นคนอย่างรพินทร์จริง ๆ และอย่างน้อยแม้ผมจะเป็นไม่ได้ทั้งหมดตามนั้น แต่อย่างน้อยผมก็มีมาตรฐานที่ตั้งไว้ให้ตะเกียกตะกายไปถึง แม้จะหล่นลงมา แต่อย่างน้อยผมพยายามที่จะเป็น
ผมคงไม่ใช่คนประเภท Born to be แต่เป็นพวกอยู่ไฟลั่ม Try to be มากกว่า (แต่ที่ผ่านมายังไม่อัพเกรด ยัง Fail to be อยู่)
ผมอยากเป็นคนรักษาสัจจะ อยากตรงต่อเวลา อยากเป็นสุภาพบุรุษ อยากเป็นคนทำมากกว่าพูด อยากเป็นคนเสียสละ อยากเป็นคนที่ลำบากก่อนคนอื่น บางเวลาก็อยากให้ถูกรักจากเพื่อนพ้องลูกน้องและเจ้านายอย่างรพินทร์บ้าง
และแม้อย่างน้อย ผมจะเป็นได้แค่เศษเสี้ยวหนึ่งในบางช่วงบางเวลา แต่อย่างน้อย ผมก็อยากเป็น
นี่แค่อย่างน้อยนะครับ ถ้ามันไม่น้อยล่ะจะดีขนาดไหน
ความฝันทำให้คนทำสิ่งยิ่งใหญ่เกินกว่าตัวตนของเขาได้ ขอบคุณพนมเทียนครับ
อย่างที่บอกไว้ (อีกครั้ง) ในหนึ่งชีวิตที่มีหลายช่วงวงจรเราอาจมีความฝันหลาย ๆ อย่าง แต่สุดท้ายแล้วคุณจะพบความจริงอย่างหนึ่งว่า ความฝันบางอย่างก็มีคำสะกดต่อท้ายว่า “เป็นไปไม่ได้”
หลังจากผ่านช่วงวัยเด็กมาสู่วัยรุ่น ผมและเพื่อน ๆ บางคนพบความฝันอีกอย่างหนึ่งในชีวิต ซึ่งมาเยือนเราในร่างของผู้ชายที่ชื่อ ต๋อง ศิษย์ฉ่อย
ช่วงนั้นสนุกเกอร์บูมมาก ๆ ครับ ผู้ชายครึ่งห้องบ้าแทงสนุ้กมาก และจำนวนหนึ่งบ้าพอจะเชื่อว่าวันหนึ่งกูจะไปเทิร์นโปรเป็นมืออาชีพ
ครับ ผมเป็นหนึ่งในนั้น
ครูซิเบิ้ลเธียเตอร์คือความฝันของเรา ที่ที่นักสนุ้กเกอร์ทั่วโลกใฝ่ฝันจะไปเยือนในฐานะผู้แข่งขัน คล้าย ๆ กับที่นักบอลอังกฤษฝันจะไปเวมบลีย์ หรือนักเบสบอลญี่ปุ่นฝันจะไปโคชิเอ็ง หรือวาทยกรระดับโลกฝันว่าจะไปคาร์เนกี้ฮอลล์
"ขณะที่ผมเดินหลงทางในนิวยอร์ก ผมถามคนแถวนั้นว่าผมจะไปคาร์เนกี้ฮอลล์ได้อย่างไร เค้าก็ตอบกลับมาว่า คุณต้องซ้อม..ซ้อม..และก็ซ้อม"
มุกตลกของฝรั่งเขาล่ะครับ คุณบัณฑิต อึ้งรังสี เคยเล่าให้ฟังเอาไว้
แต่มันบอกสัจธรรมคุณได้อย่างหนึ่งครับ
ความฝันไม่ได้ใช้หัวใจสร้างให้เป็นจริง แต่ใช้มือและเท้าทำ
คนจำนวนมากปล่อยให้ความฝันเป็นเพียงแค่เรื่องของหัวใจ แต่ไม่เคยออกแรง ไม่เคยผลักมันออกไปที่มือและเท้า
มือทำ เท้าก้าวเข้าหาโอกาส เพิ่มความเป็นไปได้ให้ห่างไกลจากเลขศูนย์
0 กับ 0.1 มีค่าแตกต่างกันมหาศาลในโลกของความฝัน เพราะมันหมายถึง เป็นไปไม่ได้เลย กับ มีโอกาสเป็นไปได้
ดังนั้นเราต้องมองให้ออกครับ ว่าความฝันที่เรามีมันมีค่าความน่าจะเป็นเท่าไหร่
อย่างที่ผมบอก (อีกครั้งหนึ่ง) ว่าฝันบางอย่างก็เป็นไปไม่ได้
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณอายุ 45 ปีแล้ว แต่คุณฝันจะเป็นนักฟุตบอลติดทีมชาติไทยไปเตะบอลโลก ฝันของคุณมีค่าความน่าจะเป็นเท่ากับ 0
แต่ถ้าคุณอายุ 18 ปี แต่คุณไม่เคยเตะบอลมาก่อนเลย คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเลี้ยงลูกยังไง จะยิงยังไง กติกาคุณยังไม่รู้เลย แต่คุณอยากเป็นนักฟุตบอลติดทีมชาติไทยไปเตะบอลโลก อันนี้ “มีโอกาสเป็นไปได้”
ดังนั้นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งของความฝันคือมันต้องซิงค์ (Sync) ได้กับความจริง
การที่ของสองอย่างจะซิงค์กันได้ อย่างหนึ่งคือมันต้องมี Platform คล้าย ๆ กัน อธิบายง่าย ๆ ใครใช้ i-Phone แล้วเอาไปต่อกับ PC มันจะไม่เจอกันครับ
โลกของความฝันกับความจริงก็เป็นเช่นนั้น มันต้องสอดคล้องกัน ถ้าคุณฝันอยากเป็นซุปเปอร์แมน รู้แล้วใช่มั้ยครับว่ามันซิงค์ได้ไหม
เมื่อความฝันของคุณอยู่ในข่ายที่ซิงค์ได้แล้ว ขั้นต่อมาก็คือเอามันซิงค์กับความจริง
ง่าย ๆ แค่นั้นเองครับ
เรามักจะเห็นความฝันชัดเจนในยามหลับ แต่เจือจางในยามตื่น เพราะอะไร เพราะโลกแห่งความจริง มีอุปสรรค มีปัญหา มีเรื่องต้องเร่งรีบทำเฉพาะหน้า มีเรื่องต้องทุ่มความสนใจ มีแรงเสียดทาน ตอนนี้เราไม่ใช่เด็กแล้วไงครับ ที่บ้านเราไม่มีธนาคารแล้ว บางคนกลายเป็นธนาคารด้วยซ้ำไป
บางทีโลกแห่งความจริงก็เข้มข้นเกินไปครับ
เราอาจต้องมองโลกแห่งความจริงแบบลำเอียงดูบ้าง มองหาช่องโหว่ในชีวิต โอกาสที่จะทำ เมื่อมองเห็นแล้วแม้จะด้วยสายตาที่ลำเอียง รีบตะครุบมันเอาไว้ ลงมือทำ
กินช้างทั้งตัวให้หมด ต้องกินทีละคำ
ความฝันก็เหมือนกัน บางเรื่องอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ถ้าคุณมองดูมันต่อให้นอนดู ก็เมื่อยได้
ซอยมันเป็นชิ้นเล็ก ๆ ซิครับ เราอาจจะทำมันไม่สำเร็จในทันทีทันใด แต่คุณค่อย ๆ ทำได้ครับ
เวลาเราเล่นเกมส์ภาษา (RPG) พวกไฟนอลแฟนตาซีอะไรพวกนี้ ตัวละครของเราจะมีภารกิจที่ต้องผ่านเหมาะสมกับเลเวลของมัน
คุณทำความฝันให้สำเร็จได้ด้วยการกำหนดเลเวลให้มันครับ แล้วทำให้สำเร็จทีละเลเวล
ถ้าคุณฝันอยากเป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทยไปเตะบอลโลก ต้องทำยังไงครับ
เตะให้มันชนะแถวบ้านก่อน แล้วค่อยกีฬาสีโรงเรียน ทำไปทีละเลเวล วันหนึ่งข้างหน้าความฝันของคุณอาจสำเร็จก็ได้ ผมใช้คำว่า “อาจจะ” นะครับ เพราะมันอาจไม่สำเร็จก็ได้ แต่จะแคร์ไปทำไม ครั้งหนึ่งในชีวิตคุณได้พยายามทำแล้วนี่ครับ
ฝันใหม่อย่างอื่นก็ได้นี่ คุณอาจไม่เหมาะกับนักฟุตบอลก็ได้ หรือถ้าคุณไม่รู้จะฝันอะไร ผมให้ยืมก็ได้ครับ
เป็นนายพรานเอามั้ยครับ พอดีฝันนี้ผมไม่ได้ใช้
อ้อ อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วยนะครับ เวลาทำสำเร็จไปหนึ่งเลเวล
คุณอาจไม่รู้อะไรบางอย่างว่า เราทุก ๆ คนล้วนมีโลกเป็นของเราเองคนละใบ เราใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนั้น วิ่งตามความฝันบ้าง หลงทางอยู่ในความจริงบ้าง โลกของเราหมุนรอบตัวเรา มีชีวิตของเราเป็นแกนโลก แต่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในชีวิตเรานั้น โลกของเราที่โคจรหมุนไปนั้น ผ่านมาทาบทับกันในบางช่วงเวลา บางครั้งก็เคลื่อนมาปฏิสัมพันธ์กัน บางครั้งก็ใช้แกนหมุนร่วมกัน แต่อย่างไรก็ตามรู้ไว้เถอะครับว่าการปะทะกันในบางครั้งของโลกส่วนตัวแต่ละคน อาจนำมาซึ่งการเติมเต็มความฝันให้กันและกัน
เราทุกคนล้วนเคยเป็นส่วนหนึ่งในการทำความฝันของคนอื่นเป็นจริง
ถ้าคุณเดินไปในเซเว่นแล้วหยิบชาเขียวโออิชิขึ้นมากิน (แน่นอนต้องจ่ายตังค์ซื้อก่อน) คุณทำให้ความฝันของคุณตันเป็นจริงแล้วครับ
คุณซื้อแผ่นซีดีเพลงของบร๊ะเจ้าโจ๊กโซคูล คุณทำให้ความฝันของเขาเป็นจริงแล้วครับ
ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เราต่างเกื้อกูลกันให้ถึงฝันของกันและกัน
กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญครับ แต่ถ้ายังไม่มีคนให้เรา เราก็ให้ตัวเราเอง
อย่ากลัวที่จะทำมันขึ้นมา เพราะมีคนจำนวนมากพร้อมที่จะไม่รู้ว่าเป็นตัวเองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฝันเราสำเร็จ
ให้กำลังใจตัวเองครับ
ผมก็มีความฝัน
และตอนนี้เมื่อคิดได้ตามนั้น ผมก็มีกำลังใจครับ
ถ้าคุณเป็นคนเคยฝัน เคยอยาก ผมแนะนำสองอย่างนะครับ ถีบตัวเองลุกขึ้นมาทำความฝันให้เกิดขึ้น หรือไม่ก็หาใครซักคนถีบคุณขึ้นมา
อันนี้พูดจริง บางครั้งเราถีบตัวเองไม่ขึ้น คุณต้องหาใครซักคนหนึ่งมาช่วยถีบ อาจเป็นคนที่คุณจะแชร์ความฝันกับเขาได้ เล่าความฝันให้เขาฟัง เพื่อให้เขาช่วยกระตุ้นคุณ ให้กำลังใจคุณ เขาอาจจะเป็นเพื่อน เป็นแฟน เป็นพ่อเป็นแม่คุณก็ได้
บางครั้งผมก็ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังว่าผมฝันอยากเป็นอะไรเพราะกลัวว่าในมุม มืดของใบหน้า เขาจะแอบหัวเราะเยาะเอา แต่บางครั้งผมก็ตัดสินใจเล่าให้บางคนฟัง เพื่อเผาสะพานตัวเอง ไม่ให้ถอยหลังกลับอีกต่อไป
ก็มันดันประกาศไปแล้ว ยังไงก็ต้องทำให้ได้ กดดันตัวเองบ้างก็ดี
หรือคุณอาจจะให้ศัตรูหรือคู่แข่งคุณถีบคุณก็ได้
อ้าว ทำเป็นเล่นไป หลายคนประสบความสำเร็จเพราะมีคู่แข่งที่ดีนะครับ ดูอย่างโอลิเวอร์ คาห์นกับ เยนส์ เลห์มันซิครับ สองคนนี้เป็นสุดยอดผู้รักษาประตูแห่งยุคของเยอรมัน แต่ฟ้าให้เลห์มันเกิดมาใยถึงส่งคาห์นมาด้วย เลห์มันต้องเป็นมือสองอยู่ร่ำไป แต่เขาไม่สนใจ เขาซ้อม ๆ ๆ แล้วก็ซ้อม สองคนนี้ไม่ถูกกันนะครับ เพราะความที่ชิงกันเป็นที่หนึ่ง เหมือนฟ้าจะแกล้งเลห์มัน คือถ้าคาห์นไม่เจ็บไม่ตายไปซะก่อนยังไงซะเขาก็เป็นมือหนึ่งจนรีไทร์นั่นแหละ แต่สุดท้ายโอกาสก็มาถึงวันที่โค้ชเลือกที่จะให้โอกาสเลห์มันทดลองเป็นมือ หนึ่งแทน เขาได้โอกาส และเขาฉวยมันไว้ได้ เพราะแรงถีบของคู่แข่งเขา ภาพแห่งความประทับใจของแฟนบอลครั้งหนึ่งในการดูบอล คือนัดที่เยอรมันต้องดวลลูกจุดโทษกับใครซักทีมหนึ่งนี่แหละ แล้วคาห์นเดินมาจับมือเลห์มันและให้กำลังใจประมาณว่า “กูเชื่อ มึงทำได้” ทำให้น้ำตาลูกผู้ชายอย่างเรา ๆ ซึมออกมาได้ นับจากนั้นมาเลห์มันก็เป็นมือหนึ่งทีมชาติแทนคาห์นจนรีไทร์ไปทั้งสองคน
เลห์มันเคยหล่นคำให้สัมภาษณ์ไว้ประมาณว่า ความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะโอลิเวอร์ คาห์นทำให้เขามีวันนี้
ทั้งสองคนนี้เป็นศัตรูคู่แข่งกันในชีวิตแต่ต่างยอมรับซึ่งกันและกัน
และในวันเวลาใดเวลาหนึ่งที่ผ่านมา โลกของเขาต่างโคจรมาทาบทับกันและช่วยกันทำให้ฝันของอีกฝ่ายเป็นจริง
มาถีบกันและกันเถอะครับ
เพื่อให้ความฝันมันซิงค์กับความจริง
ตอนนี้ผมก็มีความฝัน เป็นความฝันที่ผมเพิ่งค้นพบเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ไม่ใช่ทหาร ไม่ใช่นายพราน ไม่ใช่นักสนุ้กเกอร์ แต่เป็นความฝันที่คิดเอาไว้ว่ายังไง ๆ ให้ตาย ชีวิตนี้ก็ต้องทำให้สำเร็จให้ได้
แต่ที่ผ่านมาผมทำมันไม่สำเร็จ
ความผิดพลาดอย่างหนึ่งในชีวิตผมคือ (คิดว่า) เกิดมาเป็นพวก Perfectionist
ถ้าจะทำอะไรที่อาจจะออกมาไม่สมบูรณ์ ส่วนใหญ่แล้วผมจะเลื่อนมันไปทำทีหลัง แล้วไปทำสิ่งที่มีค่าและสำคัญกว่าในชีวิตก่อน
ตัวอย่างเช่น หาทางแก้ไขปัญหาความตกต่ำของลีเวอร์พูล มองหาผู้จัดการทีมดี ๆ ที่จะมาคุมทีมรักของเราให้ได้แชมป์ วิเคราะห์ว่าปีนี้ใครจะได้รางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม หนังสือเล่มไหนจะได้รางวัลซีไรท์ประจำปี ใครจะขึ้นรับรางวัลอิกโนเบลในปีนี้ ซัดดัม ฮุสเซนตายแล้วจริง ๆ หรือ ปัญหาภาคใต้จะแก้ยังไง และอนาคตทางออกการเมืองไทยจะเป็นยังไงต่อไป
“ไม่ perfect ไม่ Launch ออกมา” หนึ่งในครีมบำรุงหน้าที่ทำให้ผมใช้ (อ้าง) เพื่อรักษาหน้า มากกว่ารักษาใจ
แต่นั่นคือที่ผ่านมา
กรุณาย้อนกลับไปอ่านตอนต้นอีกครั้ง ผมโมโหมากที่ถูกถามคำถามนี้ “แล้วตอนนี้คุณทำอะไรอยู่”
เปล่าผมไม่ได้โมโหนิ้วกลม ผมโมโหตัวเอง โมโหจนทนตัวเองไม่ไหวแล้ว
จริงอยู่ที่เช กูวาร่าตายไปแล้ว แต่ความฝันของเขาไม่ได้ตายตามไปด้วย (อย่างน้อยเขาก็ถูกจารึกไว้ท้ายสิบล้อล่ะน่า)
แม้วิลเลี่ยม วอลเลซจะสิ้นชีพบนลานประหาร แต่ถ้อยคำ Freedommmmm. ของเขาทำให้ความฝันของเขาที่จะปลดปล่อยอิสรภาพให้กับสก็อตแลนด์ไม่ตายจากไป
ใช่
ความฝันเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่ไม่มีวันตาย แต่กลับถูกทำลายด้วยการเลื่อนไปทำวันพรุ่งนี้แล้วกัน
พรุ่งนี้ไม่เคยมาถึง
“พรุ่งนี้แล้วกันนะ” ช่างเป็นถ้อยคำที่เป็นดังอาวุธร้าย ทรงพลานุภาพ ทำลายทุก ๆ ความฝันที่เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ ที่ตลกร้ายกว่านั้น คือคนทำลายคือเจ้าของมันเอง
ถ้าหากเปรียบความฝันของคนเราเหมือนทารกน้อยที่เราให้กำเนิดขึ้นมา เราก็อยู่ในสถานะพ่อแม่ มีหน้าที่ต้องดูแลเอาใจใส่ เลี้ยงดูให้เติบโต เราคงไม่สามารถหวังให้เขาเป็นผู้ใหญ่ได้ในวันเดียว ทุกอย่างต้องใช้เวลา
ขอแค่คุณเลี้ยงเขาให้ดี อย่าทิ้งขว้าง อย่าละเลย ไม่ใยดี เมินเฉย ตามมีตามเกิด อย่าสปอยล์จนเคยตัว อย่าโอ๋จนหลงระเริง แต่สนับสนุนเขา เกื้อหนุนเขา ฝึกฝนเขา และให้กำลังใจเขา
วันหนึ่งเขาจะเติบโตขึ้นจากเด็กน้อยนามว่า “ความฝัน” กลายเป็นหนุ่มใหญ่ นามว่า “ความจริง” ได้
แต่ถ้าไม่อย่างนั้น คุณอาจเผลอกลายเป็น “พ่อแม่รังแกฝัน” โดยไม่รู้ตัว
ผมก็มีความฝัน
เมื่อสายตาของคุณส่งสัญญาณบอกสมองคุณว่าได้อ่านมาถึงประโยคนี้แล้ว ผมต้องขอขอบคุณพวกคุณทุกคน (ซึ่งอาจมีหลายคน) เพราะโลกของคุณได้โคจรมาทาบทับโลกของผมในช่วงเวลาหนึ่ง
และคุณเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมได้วางฝ่าเท้าของก้าวแรกลงบนพื้นโลกแล้ว ที่เหลือต่อไปคือการก้าวต่อ
เมื่อคุณเริ่มอ่านตั้งแต่ต้นจนถึงตอนจบ
ผมก็มีความฝันครับ และตอนนี้มันซิงค์กับความจริงแล้ว แม้จะแค่เลเวลแรก แต่มันก็ห่างไกลจากเลขศูนย์มากขึ้นแล้ว
ขอบคุณครับ
แล้วผมฝันอยากเป็นอะไรเหรอ? ก็นั่นไงครับที่คุณอ่านมา
ความฝันผมออกมาอยู่ที่มือและเท้าแล้ว คุณล่ะ มันอยู่ที่ไหน?
ปล. 1 พยายามคิดชื่อคอลัมภ์ไว้หลายอย่าง แต่ยังไม่ถูกใจ จะ "ลังเลเรียบเรียง" หรือจะเป็น "อิหลักอิเหลื่อเรียบเรียง" "ลักลั่นเรียบเรียง" ... แต่ดูแล้ว แ่ต่ละชื่อไม่ได้มีความมั่นใจเลยซักนิด
ตอน นี้จึงขอใช้ชื่อ "เรียบเรียงเรื่อยเปื่อย" ไปก่อน จนกว่าจะเจอชื่ออื่นที่ถูกใจแล้วค่อยเปลี่ยน (มีใครเขาทำกันอย่างนี้บ้างไหมเนี่ย)
ปล. 2 ตอนแรกตั้งใจจะเขียนสั้น เขียนไปเขียนมา ยาวจนได้ ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ
วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Prince of Persia : The Sands of Time ถ้ามีทรายแห่งกาลเวลาจริง คงต้องใช้กับเรื่องนี้ก่อนเลย
วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Who are you....ใคร....ในห้อง ไม่รู้สนุกกว่ารู้นะ
แล้วเดี๋ยวส่วนหลังจะเป็นการคุยแบบสปอยล์ละเอียดยิบ ถ้าดูแล้วก็มาคุยกัน
นับแต่ยุคที่ Sixth Sense สร้างปรากฏการณ์หนังหักมุม หลอกคนดู และหนังทำรายได้ถล่มทลาย ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่คนดูกลับเข้าไปดูหนังกันใหม่เพื่อจะเก็บรายละเอียดที่มองข้ามไป ซึ่งสำหรับ Sixth Sense นั้นหนังทำออกมาได้ดีเยี่ยมทั้งในด้านเนื้อหา บรรยากาศ การแสดง และทั้งในอารมณ์ของดราม่า และสยองขวัญ และก็หักมุมได้เนียนตา
ตั้งแต่นั้นมาก็เป็นเรื่องท้าทายของผู้สร้างหนัง ทั้งโปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ หรือผู้เขียนบท ที่พยายามหาเนื้อหา เรื่องราว หรือวิธีการเล่าเรื่อง ที่จะทำให้หนังออกมาหักมุมได้สาแก่ใจคอหนังประเภทนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหนังอารมรมณ์ Thriller , Suspense หรือ Horror
Who are you ใคร...ในห้อง เป็นโปรเจกต์ความพยายามเรื่องล่าสุด ที่มีหน้าหนังที่น่าสนใจ และดึงดูดคอหนังประเภทนี้อย่างมาก
อาการแยกตัวออกจากสังคม ชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง เล่นเกมส์ ดูหนัง ไม่สังสรรค์กับใคร หรือที่เรียกว่า "ฮิคิโคโมริ" ถ้าเอามาขยายความแล้วสร้างเป็นหนังลึกลับ คงไม่มีอะไรน่าสนใจเท่านี้อีกแล้ว
และคำถามว่า "แน่ใจหรือว่าหลังประตูยังคือคนที่คุณคิด?" ที่ใช้เป็นคำโปรยบนโปสเตอร์ ยิ่งทำให้หนังมีบรรยากาศที่น่าสงสัย
แต่น่าเสียดายที่ส่วนที่ยากที่สุดของหนังประเภทนี้คือ การคิดตอนจบให้หักมุม หรือหักหลังคนดู แล้วทำให้คนดูอุทานออกมาได้ว่า "เฮ้ย....สุดยอดดดดด" ไม่ใช่ "เฮ้ย...อะไรว่ะ เล่นยังงี้เลยเหรอ" คือให้อารมณ์ ทึ่ง ไม่ใช่ เหวอ
แล้วยังกองทัพหนังหักมุมที่ทยอยออกกันมาทั่วทั้งโลกนั้น ยังเป็นภาระหนักแก่คนเขียนบทที่ต้องสรรหาตอนจบให้สร้างสรรค์ ไม่ซ้ำซากกับหนังเรื่องอื่น...ซึ่งมันจะเหลืออีกซักเท่าไหร่เชียว
ข่าวดีคือหนังเรื่องนี้หามุกใหม่มาเล่นได้ ข่าวร้ายคือ เหวอ
Who are you ใคร...ในห้อง กำกับโดยผู้กำกับภาคภูมิ วงษ์จินดา ซึ่งเป็นเจ้าของผลงานเดียวกับเรื่องฟอมาลีแมน , รับน้องสยองขวัญ และ วิดีโอคลิป ซึ่งเห็นได้อย่างหนึ่งว่า คุณภาคภูมิมักหยิบเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสังคมมาสร้างเป็นหนัง เช่น การรับน้อง และวิดีโอคลิป เป็นต้น
หนังเล่าเรื่องของนิดา (สินจัย เปล่งพานิช) แม่ค้าขายหนังโป๊ ที่อาศัยอยู่กับลูกชายชื่อ ต้น แม้เธอจะอยู่กันเพียงแค่สองคนแม่ลูก แต่เธอกลับไม่ได้เจอหน้าของลูกชายมานานแล้ว เพราะต้น มีอาการของ "ฮิคิโคโมริ" เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง เล่นแต่เกมส์ ไม่ออกมาข้างนอกนานถึง 5 ปีแล้ว
การติดต่อสื่อสารกันระหว่างผู้เป็นแม่กับลูกชายนั้น มีเพียงแค่กระดาษที่สอดผ่านใต้ประตูเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เธอแน่ใจว่าลูกของเธอยังมีชีวิตอยู่
แต่เมื่อโดม (สตาร์บัคส์-พงศ์พิชญ์ ปรีชาบริสุทธิ์กุล) ครีเอทีฟรายการหนุ่ม ที่เป็นลูกค้าขาประจำของนิดา เริ่มสนใจในเรื่องนี้ และคิดว่าจะเอาเรื่องของต้นไปทำเป็นสกู๊ปรายการ ทำให้เิกิดเรื่องที่คาดคิดขึ้น
ป่าน (ตาล กัญญา รัตนเพชร์) หญิงสาวที่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในห้องเพราะป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ขั้นรุนแรง ซึ่งอาศัยอยู่บ้านตรงข้าม ได้เห็นความเป็นไปของห้องต้นผ่านหน้าต่างห้องของตัวเอง
ความสงสัยของโดม และการเข้ามาพัวพันโดยบังเอิญของป่าน นอกจากนั้นยังมีโอ๊ต มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่มีงานอดิเรกคือการย่องเบาบ้านคนละแวกนั้น ทำให้เรื่องราวขมวดปมจนพาไปถึงบทสรุปของคำถามเดียวกับชื่อหนังคือ ใคร (กันแน่ที่อยู่) ในห้อง
หนังมีองค์ประกอบที่ดีในการสร้างเรื่องราวชวนสงสัยและได้นักแสดงมีฝีมืออย่างคุณสินจัยมาร่วมแสดง อีกทั้งนักแสดงหน้าใหม่อย่างสตาร์บัคส์ ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี
แต่น่าเสียดายที่การกำกับการแสดง ทำให้คุณสินจัยแสดงในหนังเรื่องนี้บางตอนออกมามากเกินไป แสดงอารมณ์มากเกินไปหน่อย หรือที่เรียกว่าโอเวอร์แอคติ้ง
ฉากบางฉากหนังต้องการจะทำให้คุณสินจัยแสดงออกมาให้น่าสงสัยว่าใครกันแน่ที่อยู่ในห้อง ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นก็ได้ มันทำให้หนังลดความมีระดับลง
ส่วนคุณสตาร์บัคส์ก็น่าเสียดายที่หนังให้เขามีบทน้อยไปหน่อย ทั้ง ๆ ที่ถ้าให้เขาอยู่บนจอนานกว่านี้ หนังจะสนุกมากขึ้น ถ้าให้เขาเป็นตัวดำเนินเรื่องหลัก ที่ทำให้เรื่องราวขมวดปมไปจนถึงตอนเฉลยตอนสุดท้าย เรื่องคงจะมีความหลากหลายมากกว่านี้
และผมคิดว่าการแสดงในบทสำคัญของเรื่องเป็นเรื่องแรกของเขานั้น ทำได้ดีทีเดียว แสดงได้มีสีสันและเป็นธรรมชาติในแบบของเขา อารมณ์เหมือนดูคุณเรย์แสดงเป็นตัวของเขาเองในหนังที่เขาเล่นนั่นแหละ
น่าจะแจ้งเกิดจากเรื่องนี้ได้ไม่ยาก
ส่วนคุณตาลนั้น นอกจากการแสดงอาการคนเป็นโรคภูมิแพ้ที่ไม่สมจริงแล้วนั้นที่เหลือก็ไม่มีอะไรเลวร้ายแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ได้ทำให้หนังมีพลังมากขึ้นแต่อย่างใด
สำหรับในส่วนของหนังตั้งแต่ต้นเรื่องจนถึงท้ายเรื่องก่อนเฉลยนั้นหนังทำบรรยากาศออกมาได้ดี จะเห็นได้ว่าผู้กำกับมีพัฒนาการในการกำกับจังหวะของหนังมากขึ้น ไม่เชื่อลองเอาสองเรื่องก่อนหน้านั้นของผู้กำกับมาเปิดดูควบไปด้วยซิ
หนังยังมีจุดที่ละเลยความน่าเชื่อถือไป อย่างตอนเรื่องราวของโดม และตอนท้ายที่ตัวละครหนึ่งที่อยู่ ๆ ก็โผล่เข้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่มีที่มาว่า ทำไมอยู่ ๆ ถึงโผล่มา
และมีตัวละครที่ใส่เข้ามาในเรื่องแล้วไม่ได้เอามาใช้ประโยชน์อย่างโปรดิวเซอร์ของโดมนั้น ก็น่าเสียดายที่น่าจะนำมาใช้สร้างเรื่องราวและมีส่วนร่วมในหนังได้มากกว่านี้
ฉากแฟลชแบ็คของเรื่องราวของต้น ก็แทบไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไหร่ และยังทำให้คนดูไขว้เขวอย่างไม่เกิดประโยชน์กับตัวหนังแต่อย่างใด
แต่ข้อเสียใหญ่สุดของหนังก็คือตอนจบนี่แหละ ที่ทำให้คนดูส่วนใหญ่รับไม่ได้ นอกจากนั้นแล้วจังหวะในการจบยังดูกระโดดอยู่ ไม่ราบรื่นและทวีความตื่นเต้นได้มากพอ
ให้ลองดูตัวอย่างจากเรื่อง The Other และเรื่อง The Tale of Two Sisters หรือตู้ซ่อนผี เป็นตัวอย่างที่ดีได้ ทั้งสองเรื่องตอนก่อนที่จะเฉลย เราได้ดูและรู้แล้วว่าหนังมีความน่าสงสัยตลอดทั้งเรื่อง และเราจะได้รู้อะไรบางอย่างในตอนจบ แล้วพอตอนจบมาถึง จังหวะการเฉลยและการเร่งบรรยากาศไคลแมกซ์ทำให้เราตื่นเต้นและมีอารมณ์ร่วมได้ดี
ตรงนี้สปอยล์ละเอียดยิบ ใครยังไม่ได้ดูอย่าเพิ่งอ่านนะครับ
เห็นหลายคนดูหนังเรื่องนี้แล้วงง บางคนตีความไปได้แตกต่างกัน บ้างก็ว่าเป็นผี บ้างก็ว่าเป็นโรคจิต บ้างก็ว่าจินตนาการไปเอง
อันนี้ตามที่ผมเข้าใจ (ไม่ขอฟันธงว่าความคิดผมถูกหรือไม่นะครับ)
ต้องเข้าใจก่อนว่าหนังเรื่องนี้ เข้าใจว่าผู้กำกับมีเจตนาว่าจะฉีกตอนจบให้ไม่ซ้ำกับเรื่องอื่น
ที่ผ่านมาก็มักจะมีจบแบบบอกว่าเป็นผี หรือคิดไปเอง หรือเป็นโรคจิตเภท เรื่องนี้เหมือนจะพยายามคิดให้ฉีกนอกกรอบของเรื่องเดิม ๆ โดยดึงเอาเรื่องพลังแห่งความเชื่อ ความเชื่อที่ไม่มีข้อสงสัย ความเชื่อที่มาจากจิตของเรา จนสามารถทำให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้
หนังเริ่มเล่าเรื่องโดยดึงเอาเหตุการณ์ที่มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ชื่อโอ๊ตปีนข้ามไปแอบดูห้องต้นแล้วตกลงมาในบ้านของอาเจ๊กที่อยู่ข้าง ๆ แล้วโดนอาเจ๊กยิงตกลงมาบนรถยนต์หน้าบ้าน ซึ่งขณะนั้นเป็นตอนที่ป่านกำลังจะฆ่าตัวตาย ซึ่งตอนนั้นเรายังไม่รู้เหตุผลว่าทำไม เสร็จแล้วหนังค่อยเล่าย้อนกลับไปต้นเรื่องใหม่อีกที
ซึ่งเป็นวิธีการเล่าเรื่องของหนังแบบหนึ่งที่ใช้วิธีดึงความสนใจคนดูตั้งแต่ต้นเรื่อง โดนเอาเหตุการณ์น่าสงสัยและตื่นเต้นบางตอนของหนัง ตัดมาเล่าตอนต้นเรื่องก่อน แล้วค่อยไปเล่าแบบเรียงลำดับเหตุการณ์ใหม่อีกที แล้วค่อยไปเฉลยรายละเอียดที่มาที่ไป
ล่าสุดที่เพิ่งดูมา Iris ก็เล่าเรื่องแบบนี้เหมือนกัน หรือยกตัวอย่างบางเรื่อง เช่น Mission Impossible 3 ก็เล่าเรื่องแบบนี้
ตรงนี้คนที่ไม่คุ้นเคยวิธีการเล่าเรื่องแบบนี้อาจจะงงได้ ซึ่งถ้าได้ไปดูหนังอย่าง 21 grams หรือ Lost หรือ Memento ที่มีวิธีการเล่าเรื่องแบบไม่ตรงไปตรงมา อาจจะยิ่งงงมากกว่านี้
ต่อมาเรื่องก็เริ่มต้นเล่าตั้งแต่ นิดา แม่ค้าขายแผ่นหนังโป๊ มีลูกค้าขาประจำคือ โดม ที่เป็นครีเอทีฟรายการทีวี ได้แวะมาเที่ยวที่บ้านแล้วรู้เรื่องว่าลูกชายของนิดาหรือต้นนั้นไม่ได้ออกจากห้องมาเป็นเวลานานถึง 5 ปี ก็เกิดสงสัย แล้วไปศึกษาเพิ่มเติม พบว่าอาการประเภทนี้ที่ญี่ปุ่นมีเยอะ เรียกว่า "ฮิคิโคโมริ" เลยได้เป็นไอเดียเสนอหัวหน้า แล้วหัวหน้าก็บอกว่า ให้เอาเด็กนั่นออกมาจากห้องให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน
โดมเลยมาเสนอนิดาให้เอาต้นไปออกรายการ แต่ต้องให้ต้นคุยกับเขาก่อน ตรงนี้เอง ภายในความรู้สึกของนิดานั้นอยากจะให้ต้นออกมาจากห้องนานแล้ว แต่ต้นไม่ยอม พอโดมมาเสนอ นิดาก็เลยเอาด้วย แต่ปรากฏว่าเรื่องเลวร้าย คือต้นไม่ยอกออกแล้วดันตัดนิ้วตัวเองส่งออกมาให้แทน แล้วบอกว่าอย่ามาเสือกเรื่องของเขา นิดาเลยโมโหโดม พัลวันกันไปมา เลยพลาดตกบันไดไป ตอนนั้นเองต้นก็ออกจากห้องมาฆ่าโดมตาย นิดาก็หมดสติไป
โดมถูกฆ่าตาย แล้วก็ถูกตัดออกจากเรื่องไปเลย ทำให้หนังหลังจากนั้นขาดตัวเดินเรื่องที่ช่วยสร้างสีสัน เพราะหนังหันไปเล่นกับตัวละครของป่านแทน ซึ่งจริง ๆ แล้วตัวละครป่านเหมาะเป็นองค์ประกอบเสริมความสงสัยของเรื่องมากกว่าจะเป็นตัวหลัก
ในคืนเดียวกันกับที่โดมตาย มีขโมยปีนเข้าบ้านอาแปะที่อยู่ข้างบ้านนิดา พอวันรุ่งขึ้นตำรวจก็มาสืบสวนที่บ้านอาแปะ หนังทำให้รู้ว่าบ้านแถวนั้นมีหลังคาฝ้าติดกัน ปีนข้ามกันได้ แล้วตกเย็นตำรวจก็มาสอบถามที่บ้านนิดา แล้วได้ถามว่าตอนนี้สามีของนิดาอยู่ไหน นิดาบอกว่าตายไปแล้ว สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ป่านอยู่บ้านตรงข้าม ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ แม่เธอไม่ค่อยมีเวลาให้เธอเท่าไหร่ และเธอยังเห็นว่าแม่มีคนมาชอบพอและติดพัน เธอยังกลัวว่าจะต้องเรียกเขาว่าพ่อ
ป่านแอบเห็นห้องต้นที่ปิดหน้าต่างมืดทึบ มีเงาคนเดินไปมา ซึ่งหนังพยายามจะบอกว่ามีอะไรอยู่ในห้องจริง ๆ
หนังเปิดเผยให้เห็นว่านิดาไปเข้าร่วมกลุ่มสัมมนาที่ใช้ชื่อหัวข้อว่า"Who are you" ของสมาคมจีรัง ยั่งยืน และตอนหนึ่งในนั้นอาจารย์สุนีย์ เจ้าของสมาคมนี้ได้บรรยายถึงพลังแห่งความเชื่อ ว่าถ้าเราสามารถดึงเอามาใช้ได้ ถ้าเราอยากได้อะไร หายป่วย อายุยืนเป็นร้อยปี เราก็สามารถทำได้ทั้งนั้น
ตรงนี้เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญที่หนังใส่ไว้เพื่อจะเฉลยเรื่องในตอนจบ
นอกจากนั้นอาจารย์สุนีย์ยังพูดว่าเราต้องคิดเชิงบวก หากเราคิดด้านลบเมื่อไหร่ พลังความชั่วร้ายจะมาสู่ตัวเรา
แล้วก็ยกตัวอย่างแคทเธอรีน เซ็น ที่เป็นกระเทยแปลงเพศ ที่ถูกสะกดจิตให้เป็นคิดว่าเป็นผู้หญิง ซึ่งนั่นทำให้เธอใช้ชีวิตเหมือนผู้หญิงจริง ๆ เพราะเธอเชื่ออย่างนั้น มีประจำเดือน แต่งงานมีสามี แล้วก็มีลูก แม้จะไม่มีมดลูกจริง ๆ แต่พอเธอรู้ความจริง เธอก็รับไม่ได้ จนฆ่าตัวตาย หลังจากนั้น 2 ชั่วโมง ลูกเธอก็สลายกลายเป็นฝุ่น
จำเรื่องตรงนี้ไว้ก่อนนะครับ เดี๋ยวค่อยพูดตอนท้ายอีกที
ต่อมานิดาเจอกับแม่ของป่าน และได้รู้ว่าป่านป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ขั้นรุนแรง รักษายังไงก็ไม่หาย เลยเอาใบปลิวเรื่องสมาคมจีรัง ยั่งยืนให้ และชวนให้ลองดู แม่ป่านไม่สนใจ แต่ป่านเหมือนจะสนใจ
ตรงนี้หนังทำให้เราเห็นสิ่งที่ขัดกันคือ แม่ป่านบอกว่ารักลูก พยายามทำทุกวิถีทางให้ลูกหายป่วย พาไปรักษาทุก ๆ ที่ที่มีความหวังว่าจะทำให้ลูกหาย แต่ตัวเธอก็กลับไม่มีเวลาให้ลูก ออกจากบ้านไปตอนเย็น ๆ โดยอ้างว่ามีนัดกับลูกค้า
ก่อนหน้านี้ก็มีฉากที่เธอคุยโทรศัพท์บนรถตอนที่จะพาป่านไปหาหมอฝังเข็ม ว่ามีคนโทรมาหาแล้วเธอบอกว่าวันนี้คงไปไม่ได้แล้ว เพราะจะพาลูกไปหาหมอ เอาไว้เจอกันวันหลัง ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นผู้ชายที่มาติดพันชอบพอกับเธอ ที่ตอนต้น ๆ เรื่องเราเห็นขับรถมาส่งที่บ้าน
ตรงนี้มีเหตุผลที่หนังจะเฉลยในตอนเกือบท้าย ๆ
ต่อมาหนังทำให้เห็นในเหตุการณ์แฟลชแบ็คว่านิดามีปัญหากับสามี แอบพบว่าสามีนอกใจ ส่วนสามีก็โมโหหาว่านิดาโรคจิตและทำร้ายนิดาแล้วก็กำลังจะไป โดยบอกว่าจะเอาต้นไปเลี้ยงเอง แต่นิดาไม่ยอม เอาปืนยกมาขู่ บอกว่าต้นต้องอยู่กับเธอ ตลอดเหตุการณ์นี้ต้นที่อยู่ในห้องก็แอบมองผ่านช่องไม้จากชั้นบน และได้ยินตลอดเวลา หนังตัดกลับมาให้เห็นว่านิดาร้องไห้เสียใจ
หนังทำให้เราสงสัยว่านิดาอาจจะยิงสามีตายในตอนนั้น
ที่กลุ่มวินมอเตอร์ไซค์ เราเห็นว่าโอ๊ตหนึ่งในวินมอเตอรไซค์เป็นคนที่ปีนเข้าไปขโมยของในบ้านอาแปะมาจ่ายค่าพนันบอล และมีประเด็นที่เม้าท์กันเรื่องที่ต้นไม่ออกจากห้องมาหลายปีแล้ว หนึ่งในนั้นก็ถามโอ๊ตว่ารู้บ้างหรือเปล่า เหมือนประมาณว่าโอ๊ตเคยเป็นเพื่อนต้นมาก่อน โอ๊ตบอกว่ามีคนลือกันว่าต้นออกจากบ้านช่วงกลางคืน
แล้วเขาก็รับอาสาจะสืบเรื่องนี้ให้
มาที่ฝ่ายป่านซึ่งงอนแม่ที่แม่ไม่มีเวลาให้ เอาแต่ไปเที่ยวกับแฟนใหม่ แล้วเธอก็ไปค้นในลิ้นชักแม่แล้วเจอหนังสือเลิกจ้างงานโดยบังเอิญ ทำให้เธอรู้ว่าแม่ไม่มีงานทำมานานแล้ว
ทำให้เธอรู้ว่าที่จริงแล้วที่ผ่านมาแม่ไม่ได้มีเงินแต่ยอมไปมีอะไรกับผู้ชายอื่น ๆ เพื่อนำเงินมาให้เธอรักษาตัว ซึ่งอันนี้เป็นการตีความของผมเอง จากที่เห็นว่าแม่ป่านแสดงออกว่าเป็นห่วงและรักลูก แต่ก็โกหกป่านว่าจะออกไปคุยกับลูกค้าตอนหกโมงเย็น ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่ได้ทำงานแล้ว และการที่ต้องพาป่านไปรักษาที่นั่นที่นี่ก็มีค่าใช้จ่ายมาก ทำให้ผมเข้าใจว่าจริง ๆ แล้วแม่ป่านได้เงินจากการยอมมีความสัมพันธ์กับเศรษฐีเพื่อนำเงินมารักษาป่าน
นั่นทำให้ป่านรับไม่ได้ เลยตัดสินใจฆ่าตัวตาย
เหตุการณ์มาบรรจบกันกับตอนต้นเรื่อง ขณะที่ป่านจะฆ่าตัวตายก็เป็นตอนที่โอ๊ตปีนข้ามหลังคาบ้านเข้าไปสืบที่ห้องต้น แล้วถ่ายรูปติดลูกตาของต้นมา เขาตกใจจึงถอยหนี มาเจอกับศพของโดมที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าและพลาสติกซ่อนไว้บนเพดานฝ้า ที่ผมรู้ว่าเป็นศพโดม เพราะตรงคางมีเคราอยู่ด้วย
แล้วโอ๊ตก็ตกใจพลัดตกลงมาในบ้านอาแปะ ซึ่งในขณะนั้นอาแปะนั่งถือปืนคอยดักรออยู่ เนื่องจากไม่ไว้ใจว่าจะมีใครปีนเข้ามาขโมยของอีกหรือเปล่า เลยขึ้นมายิงโดนโอ๊ตตกลงมาบนรถหน้าบ้าน
เหตุการณ์สัมพันธ์กับตอนต้นเรื่อง
ส่วนป่านที่หนังทำให้เห็นว่าเธอรักแมวตั้งแต่เด็ก ๆ เห็นแมวเดินหลงทางเข้าไปในบ้านต้น จึงออกไปตามหาแมว เป็นเวลาเดียวกับที่นิดารู้สึกไม่สบายใจและกลับมาบ้าน
อยู่ ๆ สามีนิดาก็กลับมาบ้าน ทำให้รู้ว่าเขายังไม่ตายแล้วสามีก็บอกว่าต้นตายไปแล้ว เขาอยากให้นิดายอมรับความจริงว่าต้นไม่ได้อยู่ในห้อง แล้วหนังก็เผยให้เราเห็นในห้องว่าจริง ๆ แล้วมีอะไรอยู่จริง ๆ
เป็นซากศพรูปร่างคล้ายกอลลั่มแห่งลอร์ดออฟเดอะริง แต่ในสายตาของนิดาเธอเห็นเป็นรูปร่างต้น
หนังบอกเราว่า การที่นิดามีความเชื่ออย่างไม่สงสัยว่าต้นยังไม่ตาย ทำให้เธอสร้างต้นขึ้นมาด้วยความเชื่อของเธอ เหมือนที่แคเธอรีนเคยเชื่อว่าตัวเองเป็นผู้หญิงทำให้เธอมีลูกได้จริง ๆ ความเชื่อที่ไม่สงสัย จากจิตของเรา ทำให้อะไรก็เกิดขึ้นได้
ต้องบอกว่า เราต้องแยกระหว่างพลังจิต กับความเชื่อนะครับ อันนี้ต่างกัน นิดาไม่ได้ใช้พลังจิตสร้างอะไรขึ้นมา แต่เธอใช้ความเชื่อ ที่เธอเชื่อจริง ๆ เชื่อจากจิตใต้สำนึก เหมือนที่เธอเชื่อว่ากระดาษเป็นมีด ต่างกันนิดหน่อยนะครับ จำไว้่ว่าเธอไม่ได้มีพลังจิต
แล้วเธอก็ฆ่าสามีตัวเองตาย แต่ตอนที่ต่อสู้กันเธอพลัดตกบันได้ลงไป ส่วนป่านที่แอบหลบอยู่ในห้อง ก็ออกมาเห็นกอลลั่ม จึงตกใจ หนีเข้าห้องแล้วปีนขึ้นฝ้าเพดานไป อันนี้ไม่น่าเชื่อที่ผู้หญิงจะปีนขึ้นฝ้าเพดานได้ด้วยตัวเอง
กอลลั่มไล่ฆ่าเธอโดยเอาไม้แหลมไล่แทงฝ้าให้พังลงมา แล้วป่านก็พลัดตกลงมา โดยฝ้าเพดานหล่นลงมาเสียบอกของนิดาด้วย แล้วหนังก็ทำให้เห็นว่ากอลลั่มพยายามแทงป่าน ก่อนที่จะสลายกลายเป็นผงไป แล้วนิดาก็หลับตาลง เหมือนว่าจะตาย
หนังตัดมาให้เห็นตอนท้ายที่สมาคมฯ แม่ของป่านมาร่วมและกำลังดูใครซักคนที่ทรงผมรูปร่างคล้ายป่านถูกผูกตา และสาธิตวิธีใช้ความเชื่อตตัดดินสอด้วยกระดาษ เหมือนกับที่นิดาเคยมาเข้าร่วมดูตอนต้นเรื่อง แต่พอแกะผ้าผูกตาออก ปรากฏว่าไม่ใช่ป่าน
ตรงนี้หนังตั้งใจหลอกเรา คือสรุปว่าป่านตายไปแล้ว ตอนท้าย เราจึงเห็นว่าแม่ป่านเข้าร่วมสมาคมนี้เต็มตัว และมีความเชื่อเหมือนกับนิดา เธอสร้างป่านขึ้นมาและอยู่แต่ในห้องเหมือนต้น
ส่วนนิดาหลังจากฆ่าสามีตัวเองตายก็เข้าโรงพยาบาลบ้า แล้วก็มีตอนที่เธอเห็นว่ามีกระดาษลอดผ่านช่องประตูเข้ามาเขียนว่า ต้นรักแม่
ผมวิเคราะห์ว่านิดามีทั้งภาวะทางจิต และมีทั้งพลังแห่งความเชื่อ เธอยอมรับไม่ได้ว่าต้นตายไปแล้วตั้งแต่เหตุการณ์ทะเลาะกันกับสามีคราวนั้น เธอจึงจินตนาการว่าต้นยังอยู่ในห้องอยู่ แต่จากการที่เธอมีความเชื่ออย่างไม่สงสัย จากจิตของเธอ ทำให้มีต้นขึ้นมาจริง ๆ เพียงแต่ในสายตาของเธอ เธอเห็นเป็นต้นตลอด เพราะเธอมีภาวะปัญหาทางจิต แต่ในความจริงแล้ว ต้นเป็นแค่ร่างผีดิบเท่านั้น
คนที่ได้เห็นร่างผีดิบต้นมีสามคน คือ โดม พ่อต้น และก็ป่าน ทุกคนเห็นเหมือนกัน
ส่วนตอนท้ายผมวิเคราะห์เอาว่านิดาจินตนาการเอาเองว่ามีกระดาษที่เขียนว่า ต้นรักแม่ สอดเข้ามาใต้ช่องประตูมากกว่าจะคิดว่าเธอใช้ความเชื่อสร้างมันขึ้นมา
อย่างที่บอกแล้วว่ามีตอนที่ไม่น่าเชื่อถือที่หนังละเลยไป คือหลังจากโดมตายนั้น ไม่มีใครสนใจตามหาความจริง เหมือนจะถูกตัดทิ้งไปเลย ยากที่จะเชื่อได้ว่าคนหายไปทั้งคนจะไม่มีใครตามหาเลยเหรอ ถ้าให้โปรดิวเซอร์คนนั้นมาตามหา ตามสืบอาจจะดูสมจริง และทำให้หนังมีรสชาติมากขึ้นก็ได้
เรื่องของพลังแห่งความเชื่อนั้น มีสองแบบคือ แบบที่ใช้ความเชื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บ กับแบบที่สร้างสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมาได้ คือสร้างสิ่งที่ไม่มีให้มีได้ แบบหลังนี้เรียกว่า miracle creature
อย่างถ้ารักษาโรคให้หาย เป็นเรื่องภายใน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นใหม่ แต่ถ้าคนแขนขาดแล้วแขนงอกออกมาอันนี้เป็น miracle creature
แต่ประเด็นคือหนังทำให้เราทำใจให้เชื่อได้ยากว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้จริง ๆ ทำให้พอหนังจบ เรารู้สึกเหวอไปเลย ว่าเล่นมุกนี้เลยเหรอ
นั่นแหละเหมือนที่เกริ่นไว้ คือผู้สร้างพยายามจะฉีกให้ตอนจบไม่ซ้ำกับเรื่องอื่นมากเกินไป เกินจะรับได้
ทำให้ผลตอบรับของหนังเรื่องนี้กับตอนจบของเรื่อง ส่วนใหญ่แล้วจะรู้สึกว่าจบได้ "เลวร้าย"
1. ตกลงเรื่องราวในหนังจริงหรือเปล่า หรือนิดาคิดขึ้นเอง เพราะเป็นโรคประสาท
- อันนี้ผมว่าถ้าเคลียร์ตรงนี้ได้ก่อน จะทำให้เคลียร์ประเด็นในหนังได้ตรงกันหมด สำหรับผมแล้วผมคิดว่าหนังไม่ได้เล่าเรื่องสลับซับซ้อน ยอกย้อนขนาดนั้น หลังจากต้นตาย นิดาไม่ได้เป็นบ้า แต่อาจจะมีอาการทางจิต คือไม่ยอมรับความจริง และเมื่อเธอไปเข้าร่วมสมาคม นั่นทำให้เธอยิ่งพัฒนาความเชื่อผนวกกับอาการทางจิตของเธอเอง ทำให้เธอทำสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ขึ้นมาได้
2. ทำไมนิดา ยิงลูกตายแล้วไม่ติดคุก
- นั่นน่าจะเพราะเป็นอุบัติเหตุ
3. นิดาซ่อนศพลูกไว้ในบนเพดานใช่มั้ย ส่วนในห้องไม่มีอะไร
- ศพบนเพดานที่โอ๊ต มอเตอร์ไซค์รับจ้างเห็นและที่ป่านเห็นตอนท้ายเป็นศพของโดมแน่นอน ลงสต็อปตอนที่โอ๊ตเห็นศพดูก็ได้ จะเห็นเคราบนหน้าศพที่อ้าปากค้างอยู่ ส่วนในห้องก็มีร่างที่นิดาสร้างขึ้นมาจากความเชื่อของเธอเอง ป่านเลยเห็นเงาคนเดินไปมา
4. นิดาเอาศพลูกไว้ในห้องใช่มั้ย แล้วจึงทำให้มีชีวิตขึ้นมาด้วยพลังความเชื่อของเธอ
- ไม่น่าจะใช่นะครับ เรื่องตอนที่ต้นตายนั้นน่าจะเป็นไปตามครรลองของมัน คือเป็นอุบัติเหตุ คงมีการตรวจสอบของตำรวจแล้ว เอาศพไปทำพิธีเรียบร้อย เพราะพ่อต้นไม่ได้รู้เห็นอะไรด้วยเลย เขายังคิดว่านิดาบ้าที่ยังเชื่อว่าต้นยังอยู่ในห้องอยู่ เขาเลยพยายามจะพิสูจน์ว่านิดาบ้า แต่พอเปิดมาเจอซอมบี้ต้นเข้า เขาจึงตกใจ ส่วนนิดาก็หลอกตัวเองว่าต้นยังไม่ตาย อันสืบเนื่องจากอาการทางจิตของเธอ
5. ที่เห็นในห้องคือผีต้นใช่มั้ย
- อันนี้ก็ไม่น่าจะใช่ครับ เพราะหนังปูเรื่องมาแล้วตอนที่เล่าเรื่องแคเธอรีน น่าจะเป็นร่างที่ถูกสร้างขึ้นเพราะพลังแห่งความเชื่อ ทำให้เป็นจริงขึ้นมา
6. ตกลงตาลตายเหรอ หรือตาลเป็นผู้ชาย เพราะเห็นตอนท้ายหน้าเหมือนผู้ชาย
- ตาลน่าจะตาย แต่หนังหลอกเรา ตอนที่กอลลั่มแทงไม้เข้าไปที่ตัวตาล หนังไม่ได้เปิดเผยภาพให้เห็น แล้วตัวกอลลั่มก็สลายไป ตอนหลังพอเราเห็นคนที่แม่ตาลนั่งดูอยู่เปิดหน้ามาเหมือนกระเทย (จริง ๆ ผมดูแล้วไม่ใช่กระเทย แต่เป็นผู้หญิงคนอื่นมากกว่านะ) อันนั้นหนังก็หลอกเรา ว่าอ้าวไม่ใช่ตาลนี่นา นั่นเพราะตาลตายไปแล้ว
7. แล้วนิดาตายหรือเปล่า ในเมื่อกอลลั่มสลายไปแล้ว แล้วทำไมนิดายังไปโผล่ในโรงพยาบาลบ้าได้อีก
- ผมเชื่อว่านิดาไม่ได้ตาย และตรงนี้หนังน่าจะทำมาไม่เคลียร์เอง เพราะหนังติดกับดักเรื่องราวของตัวเอง การที่เราได้ฟังว่าหลังจากแคทเธอรีนตายไป 2 ชั่วโมง ลูกของเธอก็สลายกลายเป็นฝุ่นไป ทำให้เรารับเอารูปแบบนั้นมา ว่าร่างผีดิบต้นสลายไปนั้น เพราะนิดาตายนั่นเอง แต่อาจจะไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้ เพราะสิ่งที่หนังเล่ามานั้น ไม่ได้เป็นการกำหนดกฏเกณฑ์แต่อย่างใด เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องเกินธรรมชาติ มีตัวแปรที่เราไม่รู้อีกเยอะ มันอาจจะเกิดจากจิตใจที่อ่อนแอลง เพราะเธอบาดเจ็บหนักก็ได้ หรืออาจจะเิกิดจากการที่เธอคิดชั่ว อยากกำจัดสามีตัวเอง อยากกำจัดป่าน ความคิดแง่บวกก็หายไป ทำให้พลังความชั่วร้ายเข้าหาเธอ (อ้างอิงจากที่อ.สุนีย์พูดตอนก่อนเล่าเรื่องแคทเธอรีน) ทำให้ร่างกอลลั่มต้นสลาย และทำให้เธอเป็นบ้าเต็มตัว
8. ตอนท้ายที่แม่ป่านยื่นหนังสือการ์ตูนสอดเข้าใต้ประตู ใครอยู่ในห้อง คิดไปเองหรือเปล่า
- หนังเหมือนจะทำให้เราตีความว่าแม่ป่านเจริญรอยตามนิดาแหละครับ และที่อยู่ในห้องน่าจะเหมือนกับกอลลั่มต้น แต่เป็นเพศหญิง (น่าเสียดายน่าจะมาจับคู่กันไปเลย)
9. ตอนท้ายเรื่องที่นิดาเห็นกระดาษสอดเข้ามาว่า "ต้นรักแม่" หมายความว่ายังไง
- อันนี้แหละคือส่วนที่ไม่เคลียร์ที่สุดของเรื่องนี้ และทำให้เราต้องตีความเอง ผมตีความว่า นิดาบ้าไปแล้วแบบเต็มขั้น ก่อนนี้เธอแค่มีอาการทางจิต แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ผมเลยคิดว่าเธอคิดไปเองครับ บางคนอาจจะคิดว่าเธอใช้พลังจิตทำให้กระดาษเลื่อนเข้ามาในห้องเพื่อหลอกตัวเอง แต่ผมเห็นต่างกัน ตรงที่ว่าจริง ๆ นิดาไม่ใช่คนที่มีพลังจิตแก่กล้านะครับ ไม่ใช่ว่าเธออยากจะทำอะไรก็ทำได้ เธอแค่ทำสิ่งอัศจรรย์ขึ้นมาได้ เพราะเธอเชื่อในเรื่องนั้นจริง ๆ ดังนั้นพอเธอเป็นบ้า ผมก็เลยไม่คิดว่ามีเหตุผลอะไรจะเชื่อว่าเธอใช้พลังจิตทำให้กระดาษเลื่อนเข้ามา เพราะเธอไม่ได้มีพลังจิตครับ
สุดท้ายคำว่าฮิคิโคโมริก็แทบไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาของเรื่องเลย นอกจากจะนำมาเป็นทำเป็นประเด็นของคนที่อยู่แต่ในห้อง ไม่ออกมาข้างนอกเท่านั้น และสร้างความสงสัยว่าใครกันแน่ที่อยู่ในห้อง
แต่เมื่อเราได้รู้ว่าใครกันแน่ที่อยู่ในห้อง ก็อาจจะทำให้หลายคนคิดว่า ไม่รู้อาจจะดีกว่า
ผมให้คะแนนเรื่องนี้ซัก 6.5/10 แล้วกัน